ปัจจุบันไม่มีแผนจัดกิจกรรม
ภูมิรัฐศาสตร์ทางไซเบอร์กับการสร้างความยืดหยุ่นทางดิจิทัลในยุคแห่งความเปราะบาง
ความท้าทายทางภูมิรัฐศาสตร์และข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อเสริมสร้างอธิปไตยดิจิทัล ห่วงโซ่อุปทาน ความมั่นคงทางไซเบอร์ และธรรมาภิบาลที่ดีของประเทศไทย
การแข่งขันเชิงกลยุทธ์ระหว่างมหาอำนาจได้ขยายเข้าสู่มิติของ “ภูมิรัฐศาสตร์ทางไซเบอร์” โดยมีเทคโนโลยี ข้อมูล และนวัตกรรมเป็นเครื่องมือสำคัญ ความเชื่อมโยงระหว่างเศรษฐกิจดิจิทัลกับภูมิรัฐศาสตร์โลก รวมถึงเป้าหมายของประเทศไทยในการขับเคลื่อนประเทศสู่ศูนย์กลางนวัตกรรมระดับภูมิภาค ภายใต้นโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลแห่งชาติ และยุทธศาสตร์ “ไทยแลนด์ 4.0” ทำให้ประเทศไทยต้องเผชิญกับความท้าทายด้านความมั่นคงไซเบอร์ เช่น การพึ่งพาเทคโนโลยีและนวัตกรรมจากต่างประเทศ และการแข่งขันเชิงกลยุทธ์ของมหาอำนาจที่ส่งผลต่ออธิปไตยทางเทคโนโลยี ในขณะเดียวกัน เนื่องจากประเทศไทยต้องปฏิบัติตามมาตรฐานการกำกับดูแลข้อมูลระหว่างประเทศมากขึ้นการบูรณาการที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นจะช่วยเสริมสร้างพันธกรณีของประเทศในการคุ้มครองสิทธิของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิทธิด้านความเป็นส่วนตัว
AI กับ อนาคตรัฐบาลดิจิทัล สู่การยกระดับมาตรฐานการบริการภาครัฐ
ข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อเสริมสร้างธรรมาภิบาลดิจิทัล และยกระดับคุณภาพและประสิทธิภาพของการให้บริการสาธารณะของภาครัฐ
แผนยุทธศาสตร์ปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติ พ.ศ. 2565–2570 มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตและขับเคลื่อนเศรษฐกิจผ่านการใช้งาน AI อย่างมีธรรมาภิบาล เท่าเทียม และปลอดภัย แม้ประเทศไทยจะเดินหน้าตามแผนมา 2 ปีแล้ว แต่ยังเผชิญความท้าทายหลายด้าน ดังนั้นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และร่วมกันจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายที่ชัดเจน ทั้งด้านการกำหนดนโยบาย งบประมาณ และโครงการนำร่อง จึงเป็นกลไกสำคัญในการเร่งสู่รัฐบาลดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วย AI อย่างมีธรรมาภิบาล พร้อมสร้าง “ระบบนิเวศแห่งความไว้วางใจ” ที่เปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการออกแบบและตรวจสอบการบริการของภาครัฐ
เพิ่มพูนขีดความสามารถของบุคลากรภาครัฐและภาคประชาชนท้องถิ่นในการให้บริการสาธารณะด้วยปัญญาประดิษฐ์
สู่การบริหารจัดการกิจการสาธารณะท้องถิ่นในยุคดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพด้วยองค์ความรู้ ทักษะ และจริยธรรม
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โลกได้ก้าวเข้าสู่ยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการพัฒนาของ ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) ที่สามารถสร้างผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต เศรษฐกิจ และการบริหารจัดการของรัฐอย่างกว้างขวาง หนึ่งในเทคโนโลยีที่ได้รับความสนใจอย่างมากคือ Generative AI หรือเอไอเชิงสร้างสรรค์ ทำให้หน่วยงานภาครัฐมีโอกาสนำมาประยุกต์ใช้เพื่อยกระดับคุณภาพการให้บริการสาธารณะในมิติที่หลากหลาย ทั้งด้านความรวดเร็ว ความถูกต้อง การเข้าถึง และความโปร่งใส อย่างไรก็ตาม แม้ Generative AI จะมีศักยภาพสูงในการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพงานราชการ แต่การนำเทคโนโลยีดังกล่าวมาใช้ในภาครัฐยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายประการ ไม่ว่าจะเป็น ความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล ความเข้าใจในการใช้งานของบุคลากร ความมั่นคงและความปลอดภัยของข้อมูล ตลอดจนประเด็นด้านจริยธรรมและความรับผิดชอบต่อสังคม หากขาดความรู้ ความเข้าใจ และทักษะที่ถูกต้อง การใช้งาน AI อาจนำไปสู่ความผิดพลาด ข้อมูลที่บิดเบือน หรือแม้แต่กระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชนต่อหน่วยงานของรัฐ ดังนั้น จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่บุคลากรภาครัฐและผู้นำท้องถิ่นจะต้องได้รับการอบรมและพัฒนาขีดความสามารถอย่างเหมาะสม
ภาครัฐระบบเปิดและนวัตกรรมทางนโยบายเพื่อพลเมืองและการบริหารจัดการท้องถิ่น
เวิร์คชอปพลเมืองเคลื่อนรัฐครั้งที่ 4 ว่าด้วยการจัดการขยะทะเลอย่างมีส่วนร่วมบริเวณปากแม่น้ำ
ทิศทางการพัฒนาระบบราชการไทย พ.ศ. 2566-2570 มุ่งสู่การเป็น "ภาครัฐที่ล้ำหน้า" (Digital & Innovative Government) และ "ภาครัฐที่เปิดกว้าง" (Open Government) โดยเน้นการมีระบบบริหารราชการที่ทันสมัย น่าเชื่อถือ มีประสิทธิภาพ สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างแท้จริง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (สำนักงาน ก.พ.ร.) ในฐานะหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบการขับเคลื่อนการภาครัฐระบบเปิดและการมีส่วนร่วม ได้ศึกษาและพัฒนารูปแบบ “ระบบนิเวศภาครัฐระบบเปิดและการมีส่วนร่วมอย่างมีความหมาย” (Open Government and Meaningful Participation Ecosystem) เพื่อเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนภาครัฐอย่างครบวงจรและทุกมิติ ประกอบด้วย 8 องค์ประกอบสำคัญ ได้แก่ 1) การเปิดเผยข้อมูลของภาครัฐ 2) การมีนโยบายและกฎหมายที่เอื้อต่อการเปิดระบบราชการ 3) การสร้างภาคีเครือข่ายความร่วมมือ 4) การสร้างแรงจูงใจ 5) การสนับสนุนองค์ความรู้และทรัพยากร 6) การพัฒนาเทคโนโลยี นวัตกรรม และโครงสร้างพื้นฐาน 7) การติดตามประเมินผล และ 8) การสร้างวัฒนธรรมองค์กร
เสริมสร้างความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับการเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตย
สัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อออกแบบและผลิตสื่อประชาสัมพันธ์เทคโนโลยีเสมือนจริงและคู๋มือในการเข้าเยี่ยมชมและศึกษาดูงานที่รัฐสภา
KASSID Annual Meeting 2025
การขับเคลื่อนการคุ้มครองทางสังคมของประเทศไทยในช่วงความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ
ปี พ.ศ. 2568 เป็นการก้าวเข้าสู่ปีที่ 5 ของการมอบทุนการศึกษา Konrad Adenauer Scholarship for Social and Innovative Development (KASSID) โดยตลอดช่วงเวลา 5 ปีที่ผ่านมา มูลนิธิฯ ได้มอบทุนให้นักศึกษา 3 รุ่น รวมทั้งหมด 26 คนจากทั่วประเทศ เพื่อสานต่อเป้าหมายของทุนการศึกษา มูลนิธิฯ จึงจะจัดกิจกรรมตลอดหนึ่งวันสำหรับทั้งนักเรียนทุน KASSID รุ่นปัจจุบันและศิษย์เก่า โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ต่อเนื่อง แลกเปลี่ยนมุมมอง และเสริมสร้างเครือข่ายนักเรียนทุน
MY BETTER COUNTRY HACKATHON #14
ขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นรัฐบาลระบบเปิดและส่งเสริมความเข้มแข็งของภาคประชาชนในกระบวนการกำหนดนโยบายระดับชาติ
ในปีนี้ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ หรือสำนักงานก.พ.ร. ด้วยการสนับสนุนของมูลนิธิคอนราด อาเดนาวร์ จัดกิจกรรม MY BETTER COUNTRY HACKATHON ครั้งที่ 14 เพื่อกระตุ้นให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการขับเคลื่อนภาครัฐไทยไปสู่การเป็นภาครัฐแบบเปิดเพิ่มมากขึ้น กิจกรรมในครั้งนี้จะเป็นการระดมความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาประเทศจากภาคประชาชน โดยเปิดให้ประชาชนและภาคส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเข้ามามีส่วนร่วมในการระดมความคิดเห็น แนวทาง ข้อเสนอแนะที่เป็นรูปธรรมในการพัฒนาระบบราชการที่อยู่ในความสนใจของสังคม โดยปีนี้มุ่งเน้นประเด็นเกี่ยวกับการพัฒนากระบวนการให้บริการภาครัฐเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ กิจกรรมนี้คาดหวังว่าจะช่วยส่งเสริมให้เกิดระบบการบริหารกิจการบ้านเมืองแบบมีส่วนร่วมระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน และภาคส่วนต่าง ๆ สู่การปฏิบัติให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมในระยะยาว อันจะเกิดผลดีต่อการบริหารราชการแผ่นดินตามหลักธรรมาภิบาล และส่งเสริมให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นในการปฏิบัติงานของภาครัฐเพิ่มมากขึ้น
เวทีปรึกษาหารือเยาวชน: ส่งเสียงและกำหนดบทบาทใหม่ของเยาวชนในระบบคุ้มครองทางสังคม
การสร้างการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการพัฒนานโยบายการคุ้มครองทางสังคมของประเทศไทย
ระบบคุ้มครองทางสังคมที่ครอบคลุมและตรวจสอบประสิทธิผลได้ถือเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาที่เท่าเทียมและความยุติธรรมทางสังคม โครงการสวัสดิการต่าง ๆ เช่น บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เงินอุดหนุนเด็กเล็ก และกลไกประกันการว่างงาน สะท้อนให้เห็นถึงการที่รัฐบาลให้ความสำคัญกับการลดความยากจนและความเหลื่อมล้ำ อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการลงทุนในมาตรการดังกล่าวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังมีคำถามเกี่ยวกับความครอบคลุม ความชอบธรรม และการตอบสนองของระบบคุ้มครองทางสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กระบวนการกำหนดนโยบายและการดำเนินงานมักถูกกำหนดและครอบงำโดยนักวิชาการหรือผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิค ข้าราชการระดับสูง และกลุ่มผลประโยชน์บางกลุ่ม ส่งผลให้กลุ่มสำคัญ—โดยเฉพาะเยาวชน—ขาดการมีส่วนร่วมอย่างมีนัยสำคัญ
การเข้าถึงความยุติธรรมด้านสิ่งแวดล้อมของประชาชน
กรณีศึกษาจากเชียงราย
การเข้าถึงความยุติธรรมทางสิ่งแวดล้อมยังคงเป็นความท้าทายสำคัญของประเทศไทย แม้ปัญหาการเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อมจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน วิถีชีวิต และความยั่งยืนของระบบนิเวศท้องถิ่นมากขึ้นทุกวัน แต่ประชาชนจำนวนมากยังคงประสบกับอุปสรรคในการใช้สิทธิของตน และขอรับการเยียวยาผ่านกระบวนการทางกฎหมาย เนื่องจากขั้นตอนทางกฎหมายมีความซับซ้อน การเข้าถึงข้อมูลยังไม่ทั่วถึง และความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกลไกทางกฎหมายมีจำกัด ปัจจัยเหล่านี้ล้วนก่อให้เกิดช่องว่างระหว่าง “ความเสียหายทางสิ่งแวดล้อม” กับ “ความยุติธรรม” ส่งผลให้ชุมชนที่ได้รับผลกระทบต้องเผชิญกับปัญหามลพิษ การตัดไม้ทำลายป่า และการจัดการทรัพยากรธรรมชาติที่ไม่ยั่งยืน โดยขาดโอกาสในการมีส่วนร่วมในการจัดการกับปัญหาอย่างแท้จริง และไม่มีกลไกคุ้มครองที่มีประสิทธิภาพตามกฎหมาย
ทบทวนและต่อยอดทฤษฎีและนโยบายต่างประเทศของไทย ต่อยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิกจากมุมมองส่วนภูมิภาค
เสวนาวิชาการ
การดำเนินนโยบายต่างประเทศนั้นเน้นการมองจากศูนย์กลางที่ใกล้ชิดของผู้กำหนดนโยบายเป็นหลัก แต่ในการเปลี่ยนแปลงของระบบเศรษฐกิจ การเมือง และความมั่นคงระหว่างประเทศ การที่ประเทศมหาอำนาจต่างพยายามเข้ามาแสวงหาบทบาทนำในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทำให้ความเข้มข้นและความรุนแรงของการแข่งขันเผยตัวออกมาในหลายมิติและหลายระดับ หากใช้มุมมองจากส่วนกลางแล้ว การพยายามทำความเข้าใจเป้าหมายและผลประโยชน์ที่มหาอำนาจต้องการนำไปสู่การพยายามแสวงหาวิธีการหรือนโยบายต่างประเทศที่จะตอบสนองต่อปรากฏการณ์นั้นๆ และยังคงต้องรักษาผลประโยชน์และเกียรติภูมิของประเทศไทยเอาไว้ ในขณะเดียวกัน วิธีการมองและแสวงหาแนวนโยบายและวิธีการตั้งอยู่บนชุดความรู้ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่เน้นรัฐเป็นศูนย์กลาง และเป้าหมายของชุดคำถามที่มากับทฤษฎีเหล่านั้นต่างก็พยายามตอบว่ารัฐควรมีนโยบายต่างประเทศอย่างไร